ทำไม แท็กซี่ไม่กดมิเตอร์ เรียกราคาเหมา และไม่พอใจแอปเรียกรถ
ปัญหาการปฏิเสธผู้โดยสาร การเรียกเก็บค่าโดยสารแบบเหมาจ่ายโดยไม่ใช้มิเตอร์ และความไม่พอใจต่อแอปพลิเคชันเรียกรถ เป็นประเด็นที่สร้างความไม่พึงพอใจให้กับผู้ใช้บริการ แท็กซี่ ในประเทศไทยมาอย่างยาวนาน แม้จะมีกฎหมายและข้อบังคับที่ชัดเจน แต่พฤติกรรมเหล่านี้ยังคงพบเห็นได้บ่อยครั้ง ทำให้เกิดคำถามถึงรากเหง้าของปัญหาที่ซับซ้อนนี้ การเข้ามาของแพลตฟอร์มเรียกรถออนไลน์ เช่น Grab และ Bolt ได้นำเสนอทางเลือกที่สะดวกสบายและโปร่งใสแก่ผู้โดยสาร ซึ่งได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว แต่ในขณะเดียวกันก็สร้างแรงกระเพื่อมอย่างรุนแรงต่อธุรกิจ แท็กซี่ ดั้งเดิม บทความนี้จะวิเคราะห์ปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งด้านเศรษฐกิจ กฎหมาย และผลกระทบจากการแข่งขัน เพื่อทำความเข้าใจปัญหาและเสนอแนวทางแก้ไขที่ยั่งยืน
ยาวไปเลือกอ่าน
- 1. เหตุผลที่ แท็กซี่ ไม่กดมิเตอร์
- 2. กฎระเบียบเกี่ยวกับการปฏิเสธผู้โดยสารและการใช้มิเตอร์
- 3. การเข้ามาของแอปพลิเคชันและผลกระทบต่อรายได้คนขับแท็กซี่
- 4. ข้อดีของแอปเรียกรถในมุมมองผู้โดยสาร
- 5. ปฏิกิริยาและความไม่พอใจของคนขับแท็กซี่ ต่อแอป
- 6. มุมมองของผู้โดยสารและผลกระทบต่อบริการสาธารณะ
- สรุป
1. เหตุผลที่ แท็กซี่ ไม่กดมิเตอร์
คนขับ แท็กซี่ ส่วนใหญ่ในประเทศไทยต้องเผชิญกับต้นทุนการดำเนินงานที่สูง ไม่ว่าจะเป็นค่าเช่ารถรายวันที่สูงถึง 550-600 บาทต่อวันสำหรับผู้เช่าขับ หรือค่างวดรถที่ใกล้เคียงกันสำหรับเจ้าของรถ นอกจากนี้ยังมีค่าเชื้อเพลิงและค่าบำรุงรักษา เมื่อหักลบค่าใช้จ่ายเหล่านี้แล้ว คนขับ แท็กซี่ มักมีรายได้สุทธิเหลือเพียง 300-500 บาทต่อวัน จากการทำงานเฉลี่ย 12 ชั่วโมง ซึ่งคนขับมองว่าอัตราค่าโดยสารที่กรมการขนส่งทางบกกำหนดนั้นต่ำเกินไปและไม่เป็นธรรม ไม่สอดคล้องกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นและสภาพการจราจรที่ติดขัดในปัจจุบัน นี่คือสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดปัญหา แท็กซี่ไม่กดมิเตอร์ และการเรียกเก็บค่าโดยสารแบบเหมาจ่าย
ด้วยแรงกดดันด้านรายได้ที่จำกัด คนขับ แท็กซี่ จึงพัฒนากลยุทธ์เพื่อเพิ่มผลกำไรสูงสุด โดยมัก แท็กซี่ไม่รับผู้โดยสาร ในเส้นทางที่ไม่คุ้มค่า เช่น ระยะทางสั้นเกินไป หรือเส้นทางที่เสี่ยงต่อการไม่มีผู้โดยสารขากลับ คนขับมักเลือกรับผู้โดยสารในพื้นที่ใจกลางเมืองที่มีความหนาแน่นสูงและมีโอกาสหาผู้โดยสารต่อเนื่องได้ง่ายกว่า เพื่อลดการวิ่งรถเปล่า การวิ่งระยะสั้นในเมืองหลายเที่ยวอาจทำเงินได้มากกว่าการวิ่งระยะไกลออกนอกเมืองหนึ่งเที่ยว เส้นทางที่มักถูกปฏิเสธ ได้แก่ พื้นที่ชานเมืองหรือเส้นทางที่ต้องข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา เนื่องจากเสี่ยงต่อรถติดและไม่มีผู้โดยสารขากลับ การเรียกเก็บค่าโดยสารแบบเหมาจ่ายจึงเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่คนขับใช้เพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัดของมิเตอร์และเพิ่มรายได้ในเส้นทางที่พวกเขาเห็นว่ามิเตอร์ไม่สะท้อนต้นทุนหรือความเสี่ยงที่แท้จริง พฤติกรรมเหล่านี้เป็นผลมาจากการคำนวณทางเศรษฐกิจที่คนขับมองว่าต้นทุนทางการเงินของการปฏิบัติตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัดนั้นสูงกว่าบทลงโทษที่อาจได้รับจากการไม่ปฏิบัติตาม
2. กฎระเบียบเกี่ยวกับการปฏิเสธผู้โดยสารและการใช้มิเตอร์
กฎหมายไทยระบุชัดเจนว่าผู้ขับขี่รถ แท็กซี่ ไม่สามารถปฏิเสธการรับผู้โดยสารได้ เว้นแต่ในกรณีที่อาจก่อให้เกิดอันตรายแก่ตนเองหรือผู้โดยสาร เช่น ยางแบน การเติมแก๊สหรือการจ่ายค่างวดรถไม่ถือเป็นเหตุผลอันสมควรในการปฏิเสธผู้โดยสาร หากคนขับไม่ประสงค์จะรับผู้โดยสาร ต้องแสดงป้าย “งดรับจ้างผู้โดยสาร” อย่างชัดเจน แท็กซี่ มิเตอร์ทุกคันต้องเปิดมิเตอร์และแสดงค่าโดยสารตามอัตราที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดตลอดเวลาของการโดยสาร รวมถึงกรณีรถติดที่มิเตอร์จะคิดค่าโดยสารตามเวลา การกระทำที่ แท็กซี่ไม่กดมิเตอร์ ถือเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย
ผู้ที่ฝ่าฝืนการปฏิเสธผู้โดยสารโดยไม่มีเหตุอันสมควร มีโทษปรับไม่เกิน 1,000 บาท สำหรับกรณี แท็กซี่ไม่กดมิเตอร์ หรือเรียกราคาเหมา มีโทษเปรียบเทียบปรับสูงสุด 1,000 บาท, พักใช้ใบอนุญาตขับรถยนต์สาธารณะ เป็นเวลา 1 เดือน, และส่งเข้ารับการอบรมจิตสำนึกการให้บริการ 3 ชั่วโมง หากกระทำผิดซ้ำอีก กรมการขนส่งทางบกจะพิจารณาลงโทษถึงขั้นเพิกถอนใบอนุญาต ประชาชนสามารถร้องเรียนพฤติกรรม แท็กซี่ ได้ผ่านช่องทางที่หลากหลายของกรมการขนส่งทางบก เช่น สายด่วน 1584, LINE @1584DLT, Facebook “1584 ร้องเรียนรถโดยสารสาธารณะ”, เว็บไซต์, หรืออีเมล นอกจากนี้ยังมีระบบแจ้งเตือนและโอนเงินส่วนแบ่งค่าปรับให้ผู้แจ้งด้วย
แม้จะมีกฎหมายและช่องทางการร้องเรียนที่ชัดเจน แต่ปัญหาการ แท็กซี่ไม่รับผู้โดยสาร และการเรียกราคาเหมายังคงมีอยู่แพร่หลายและเป็นปัญหาเรื้อรัง ผู้โดยสารบางส่วนมองว่ากฎหมายอ่อนแอ และบทลงโทษไม่รุนแรงพอที่จะสร้างความเกรงกลัวหรือเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมคนขับได้อย่างแท้จริง ความท้าทายในการบังคับใช้กฎหมายรวมถึงการขาดการตรวจสอบที่เข้มงวดเพียงพอ การที่คนขับส่วนใหญ่เป็นผู้เช่าขับทำให้การตรวจสอบย้อนกลับว่าใครเป็นผู้ขับในช่วงเวลาที่มีปัญหาทำได้ยาก และปริมาณรถ แท็กซี่ ในกรุงเทพฯ ที่มีจำนวนมากถึงประมาณ 80,000-100,000 คัน ทำให้การกำกับดูแลเป็นไปได้ยาก
3. การเข้ามาของแอปพลิเคชันและผลกระทบต่อรายได้คนขับแท็กซี่
ในทศวรรษที่ผ่านมา เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตบนมือถือได้นำไปสู่การพัฒนาแพลตฟอร์มเรียกรถออนไลน์อย่างรวดเร็วและแพร่หลาย แพลตฟอร์มเหล่านี้ เช่น Grab Taxi, Line Man Taxi, Bolt ได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่ผู้บริโภค การเข้ามาของแอปเรียกรถส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อรายได้ของ แท็กซี่ ดั้งเดิม โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีการแข่งขันสูง เช่น สนามบิน สมาคม แท็กซี่ ได้แสดงความไม่พอใจอย่างเปิดเผยและมีการยื่นข้อเรียกร้องต่อกระทรวงคมนาคมให้พิจารณายกเลิกการอนุญาตให้รถยนต์ผ่านแอปเข้าให้บริการในพื้นที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เนื่องจากรายได้ของ แท็กซี่ ดั้งเดิมลดลงอย่างมาก
คนขับ แท็กซี่ จำนวนมาก (ร้อยละ 55.8) ได้สมัครใช้บริการบนแพลตฟอร์มเรียกรถออนไลน์ และบางส่วนปรับตัวเป็น “ขับแบบผสม” คือรับทั้งผู้โดยสารที่โบกและจากแอป Grab มีระบบการกำกับดูแลคนขับที่ค่อนข้างเข้มงวดและมีนโยบายที่เข้าข้างลูกค้า ทำให้คนขับหลายคนถูกปิดสัญญาณหรือแบนได้ง่าย หากมีการโกงพิกัด GPS, เลือกงาน, ยกเลิกงานบ่อย, หรือถูกลูกค้าร้องเรียนซ้ำซาก Bolt เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่คนขับ Grab ย้ายมาใช้ เนื่องจาก Grab หักค่าคอมมิชชั่นเยอะกว่า Bolt เคยไม่หักค่าคอมมิชชั่น แต่ปัจจุบันเริ่มหัก 15% ซึ่งยังต่ำกว่า Grab ที่หัก 25% อย่างไรก็ตาม การหักค่าคอมมิชชั่นนี้ทำให้คนขับ Bolt กังวลเรื่องรายได้ที่ลดลงเช่นกัน และการไม่โอนค่าคอมมิชชั่นให้ Bolt อาจทำให้บัญชีถูกบล็อกได้
4. ข้อดีของแอปเรียกรถในมุมมองผู้โดยสาร
แอปพลิเคชันเรียกรถสร้างความสะดวกสบายให้กับผู้เดินทางมากขึ้น ด้วยการเรียกใช้บริการที่ง่ายและรวดเร็ว ผู้โดยสารได้รับอำนาจในการเลือกบริการ มีทางเลือกประเภทรถและระดับบริการที่หลากหลาย ระบบการชำระเงินที่หลากหลายและสะดวกสบาย ราคาค่าโดยสารถูกคำนวณและแสดงผลอย่างโปร่งใสตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง ทำให้ผู้โดยสารทราบค่าใช้จ่ายล่วงหน้าและไม่ต้องกังวลเรื่องการถูกปฏิเสธหรือการเรียกราคาเหมา มีส่วนลดและโปรโมชั่นดึงดูดผู้ใช้งานอย่างต่อเนื่อง แอปพลิเคชันช่วยลดความกังวลในการเจอประสบการณ์ที่ไม่ดีกับ แท็กซี่ สาธารณะ เช่น พฤติกรรมไม่สุภาพ การ แท็กซี่ไม่กดมิเตอร์ หรือการโกงราคา ซึ่งเป็นปัญหาที่ผู้โดยสารประสบมานาน ผลสำรวจความพึงพอใจในการใช้บริการ Grab Taxi ในกรุงเทพมหานครโดยรวมอยู่ในระดับความพึงพอใจมาก ซึ่งสะท้อนว่าผู้บริโภคยอมรับเทคโนโลยีและบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของตน การมีทางเลือกบริการที่หลากหลายส่งเสริมการแข่งขันและกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาบริการที่ดีขึ้นเพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้บริโภค
5. ปฏิกิริยาและความไม่พอใจของคนขับแท็กซี่ ต่อแอป
คนขับ แท็กซี่ ดั้งเดิมแสดงความไม่พอใจอย่างรุนแรงและมองว่าแอปเรียกรถเป็นภัยคุกคามต่ออาชีพของตน การประท้วงที่พยายามใช้ผู้โดยสารเป็นตัวประกันดูเหมือนจะไม่ได้ผล และรายได้ยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ คนขับ แท็กซี่ ยังมองว่าแอปเรียกรถสร้างความเหลื่อมล้ำและไม่เป็นธรรมในการแข่งขัน เนื่องจากกฎระเบียบที่แตกต่างกัน การต่อต้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านวิธีการประท้วงที่สร้างความไม่สะดวกแก่ผู้โดยสาร ส่วนใหญ่ไม่มีประสิทธิภาพ เนื่องจากล้มเหลวในการแก้ไขเหตุผลพื้นฐานที่ผู้โดยสารเปลี่ยนไปใช้แอป นั่นคือ บริการที่เหนือกว่า ความโปร่งใส และความสะดวกสบาย ตลาดกำลังเปลี่ยนไปสู่รูปแบบที่ให้ความสำคัญกับประสบการณ์ผู้ใช้ ความโปร่งใส และความรับผิดชอบอย่างไม่อาจย้อนกลับได้ บริการ แท็กซี่ ดั้งเดิมจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐานในรูปแบบการดำเนินงาน การส่งมอบบริการ และทัศนคติ เพื่อให้สามารถแข่งขันและยังคงมีความเกี่ยวข้อง แทนที่จะพึ่งพามาตรการปกป้องที่ทำให้ลูกค้าไม่พอใจ
6. มุมมองของผู้โดยสารและผลกระทบต่อบริการสาธารณะ
ผู้โดยสารจำนวนมากไม่พอใจกับพฤติกรรมของคนขับรถแท็กซี่ ดั้งเดิมมานานแล้ว โดยเฉพาะการ แท็กซี่ไม่รับผู้โดยสาร ในเส้นทางที่ไม่ต้องการ หรือการเรียกเก็บค่าโดยสารแบบเหมาจ่ายโดยไม่ใช้มิเตอร์ ข้อร้องเรียนที่พบบ่อยยังรวมถึงพฤติกรรมไม่สุภาพ การขับรถประมาทหวาดเสียว และการ แท็กซี่ไม่กดมิเตอร์ ตามที่กำหนด พฤติกรรมเหล่านี้สร้างความไร้ยางอายและทำลายภาพลักษณ์ของบริการ แท็กซี่ ไทยในสายตาประชาชนและนักท่องเที่ยวต่างชาติ
ผู้โดยสารต้องการบริการขนส่งที่ปลอดภัย มีความชัดเจนเรื่องค่าโดยสาร และความจริงใจในการให้บริการ แพลตฟอร์มเรียกรถตอบสนองความต้องการเหล่านี้ได้ดีกว่า ด้วยราคาที่โปร่งใส การติดตามรถได้แบบเรียลไทม์ และความสามารถในการร้องเรียนหรือให้คะแนนบริการที่ง่ายกว่า ปัญหา แท็กซี่ไม่รับผู้โดยสาร ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการเข้าถึงบริการขนส่งสาธารณะ โดยเฉพาะในช่วงเวลาเร่งด่วนหรือเทศกาลสำคัญที่ความต้องการสูง การที่ผู้โดยสารหันไปใช้บริการแอปเรียกรถมากขึ้น สะท้อนถึงความล้มเหลวของระบบ แท็กซี่ ดั้งเดิมในการปรับตัวและตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ ซึ่งนำไปสู่การลดลงของความเชื่อมั่นในบริการสาธารณะแบบดั้งเดิม หาก แท็กซี่ ดั้งเดิมไม่สามารถปรับปรุงบริการ พฤติกรรม และทัศนคติให้ดีขึ้นได้ พวกเขาจะสูญเสียความเห็นอกเห็นใจและการสนับสนุนจากสาธารณะอย่างถาวร เนื่องจากผู้โดยสารมีสิทธิ์ที่จะเลือกทางเลือกที่คุ้มค่าและสะดวกสบายที่สุดสำหรับตนเอง
สรุป
ปัญหา แท็กซี่ ไทยที่ แท็กซี่ไม่รับผู้โดยสาร เรียกราคาเหมา และแสดงความไม่พอใจต่อแอปเรียกรถ เป็นผลมาจากปัจจัยที่ซับซ้อนและเชื่อมโยงกันอย่างแยกไม่ออก ทั้งปัจจัยทางเศรษฐกิจที่ทำให้คนขับมีรายได้ไม่เพียงพอ ปัจจัยด้านกฎหมายและการบังคับใช้ที่ยังไม่เข้มงวดพอ และปัจจัยด้านการแข่งขันและเทคโนโลยีที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคอย่างรวดเร็ว ปัญหาเหล่านี้ไม่ได้เป็นเหตุการณ์ที่แยกจากกัน แต่เป็นองค์ประกอบของวงจรที่เสริมซึ่งกันและกัน การพยายามแก้ไขปัจจัยใดปัจจัยหนึ่งเพียงลำพังจึงไม่น่าจะนำไปสู่การแก้ไขที่ยั่งยืน
เพื่อแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อนนี้และยกระดับอุตสาหกรรม แท็กซี่ ให้ตอบสนองความต้องการของสาธารณชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ จำเป็นต้องมีแนวทางที่ครอบคลุมและบูรณาการ ซึ่งรวมถึงการปรับโครงสร้างค่าโดยสารให้เป็นธรรมและสมเหตุสมผล การยกระดับการบังคับใช้กฎหมายและระบบกำกับดูแล การส่งเสริมการปรับตัวของ แท็กซี่ ดั้งเดิมให้เข้าสู่ยุคดิจิทัล การสร้างสมดุลในการแข่งขันและกฎระเบียบที่เท่าเทียมกันสำหรับทุกฝ่าย และการรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนอย่างต่อเนื่อง หน่วยงานกำกับดูแลจำเป็นต้องปรับตัวจากผู้กำหนดกฎเกณฑ์ที่ตายตัวไปสู่การเป็น “ผู้กำกับดูแลอัจฉริยะ” ที่อำนวยความสะดวกในการปรับตัวของตลาดและนวัตกรรม เพื่อให้เกิดความยั่งยืนและประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชนผู้ใช้บริการในระยะยาว