คนขี้เกียจคือคนไม่เท่ จริงหรือ? ถอดรหัสความเท่ที่แท้จริง
ปฏิเสธไม่ได้เลยครับว่าชีวิตในยุคนี้ถูกขับเคลื่อนด้วยความ Active และ Productive เราถูกปลูกฝังว่าความสำเร็จต้องแลกมาด้วยความขยันและ วินัยสู่ความสำเร็จ จนเกิดประโยคที่ว่า คนขี้เกียจคือคนไม่เท่ ประโยคที่สร้างแรงกระเพื่อมในสังคมนี้จริงแท้แค่ไหนกัน? ความเท่ของคนในยุคนี้ถูกวัดด้วยจำนวนชั่วโมงทำงาน หรืออยู่ที่การใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพและรับผิดชอบตัวเองได้? บทความนี้จะพาไปสำรวจทั้งสองมุมมอง ทั้งจากผู้ที่เชื่อในการลงมือทำอย่างสุดใจ และจากมุมมองทาง จิตวิทยาความขี้เกียจ เพื่อหาคำตอบว่า “ความเท่” ที่เราตามหา ซ่อนอยู่ที่ใดกันแน่
ขี้เกียจ แล้วเกี่ยวอะไรกับความเท่?
ในบริบทของการสร้างตัวและความก้าวหน้า คำว่า “เท่” มักถูกนิยามใหม่ให้ผูกโยงกับความมุ่งมั่นและความสำเร็จที่ได้มาด้วยหยาดเหงื่อแรงงาน
แนวคิดที่ว่า “คนขี้เกียจคือคนไม่เท่” นี้ปรากฏชัดเจนในวงสนทนาของกลุ่มคนที่ให้ความสำคัญกับ Growth และ Discipline อย่างเช่นในรายการพอดแคสท์รายการหนึ่งได้กล่าวไว้ถึงความจำเป็นที่ต้องทุ่มเทอย่างหนักเพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย ในมุมมองนี้ ความขี้เกียจ คือการ ละทิ้งโอกาส การปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยไม่สร้างสรรค์สิ่งใด ไม่ว่าคุณจะรวยมาจากไหนก็ตาม แต่ถ้าคุณขาด วินัยสู่ความสำเร็จ ในการลงมือทำอย่างสม่ำเสมอ คุณค่าที่คุณสร้างก็จะลดลง ความเท่ที่แท้จริงจึงกลายเป็นเรื่องของ “ทัศนคติ” ที่เลือกจะกระหายความก้าวหน้ามากกว่าการปล่อยตัวไปกับความสบาย
ความสำเร็จไม่ได้มาจากการทำอะไรที่ยิ่งใหญ่เกินตัว แต่มักมาจากการ ลงมือทำอย่างสม่ำเสมอ และมีวินัย ตั้งแต่จุดเริ่มต้นเล็ก ๆ การที่เราเห็นคนที่เริ่มจากศูนย์ ค่อย ๆ สร้างรากฐานธุรกิจขึ้นมาอย่างค่อยเป็นค่อยไป นั่นคือภาพของคนที่มีความเท่และน่าชื่นชมกว่าคนที่ “ดูเท่” ด้วยภาพลักษณ์ แต่แท้จริงแล้วขาดความพยายามและความรับผิดชอบ

แล้วผิดไหมที่เราจะขี้เกียจ?
หากมองจากมุมของมนุษย์ทั่วไป ความ ขี้เกียจ ไม่ใช่เรื่องผิดเลย หลายครั้งมันเป็นสัญญาณเตือนจากร่างกายและจิตใจที่บอกว่า “ฉันต้องการพักผ่อน” หรือ “ฉันเหนื่อยเกินไปแล้ว” การห้ามตัวเองไม่ให้รู้สึก ขี้เกียจ เลยต่างหากที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพจิต
ในทาง จิตวิทยาความขี้เกียจ นักจิตวิทยาชี้ให้เห็นว่า ความรู้สึกเฉื่อยชาและไม่อยากทำอะไร (Apathy) มักเกิดจากหลายปัจจัยที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นนิสัยเสียเสมอไป เช่น:
- ภาวะหมดไฟ (Burnout): นี่คือสาเหตุสำคัญที่ทำให้เราเกิดอาการ ขี้เกียจ อย่างหนัก เพราะร่างกายและจิตใจได้ใช้พลังงานไปมากเกินกว่าจะฟื้นฟูได้ทัน
- การขาดแรงจูงใจ (Lack of Motivation): เมื่อเป้าหมายไม่ชัดเจน หรือสิ่งที่ทำอยู่ไม่สร้างความตื่นเต้นอีกต่อไป เราก็จะขาดพลังที่จะก้าวต่อไป
- รักความสบาย (Comfort Seeking): การยึดติดกับสภาพแวดล้อมที่ง่ายและสะดวกสบายมากเกินไป ทำให้เราไม่อยากออกไปเผชิญความท้าทาย
- ปัญหาสุขภาพจิต: ในกรณีที่รุนแรง ความขี้เกียจและความเฉื่อยชาที่เรื้อรังอาจเชื่อมโยงกับภาวะทางอารมณ์ เช่น ภาวะซึมเศร้าได้เช่นกัน
ดังนั้น การจะตัดสินว่าใครเป็น คนขี้เกียจคือคนไม่เท่ โดยไม่พิจารณาสาเหตุจึงอาจเป็นการด่วนสรุปเกินไป เพราะสิ่งที่สำคัญกว่าคือ “ความขี้เกียจนั้นทำให้ชีวิตพังหรือไม่” หากเรายังสามารถจัดการภาระหน้าที่และรับผิดชอบชีวิตตัวเองได้ การพักผ่อนชาร์จพลังถือเป็นเรื่องปกติและจำเป็น
แล้วเราจะทำตัวเท่ไปทำไม แค่อยากขี้เกียจ!
ประโยค คนขี้เกียจคือคนไม่เท่ จึงเป็นเหมือนเหรียญสองด้านที่ทำให้เกิดการถกเถียงอย่างมากในโลกออนไลน์
คนที่เห็นด้วย: เท่ด้วยวินัยและการสร้างตัว
คนที่เห็นด้วยจะมองว่า ถ้าเราเป็นคนหนึ่งที่อยากสร้างเนื้อสร้างตัว สร้างความมั่งคั่งอย่างจริงจัง ก็ถือว่า หมดเวลาขี้เกียจแล้ว เราจำเป็นต้องลงมือทำจริงจัง ต้องขยัน ต้องพยายาม ถีบตัวเอง ให้ลุกจากที่นอนเพื่อไปทำงาน เพราะหากไม่ทำ ก็คงไม่มีความสำเร็จใดเกิดขึ้นได้ในยุคที่การแข่งขันสูงเช่นนี้ ความเท่ ในนิยามนี้จึงหมายถึงความสามารถในการควบคุมตัวเอง การมี วินัยสู่ความสำเร็จ และการใช้พลังกายพลังใจในการทำงานอย่างเต็มที่
คนที่ไม่เห็นด้วย: สิทธิ์ในการพักผ่อนคือสิ่งสำคัญ
กลุ่มนี้จะโต้แย้งว่า ในสังคมที่ต้องปากกัดเท้าถีบ ทำงานหนักมาทั้งสัปดาห์ การขอ ขี้เกียจ บ้างเพื่อพักฟื้นพลังไม่ใช่เรื่องผิด “ทำงานมาทั้งสัปดาห์แล้ว ขอขี้เกียจบ้างไม่ได้เหรอ?” การถูกตัดสินว่า ขี้เกียจแล้วไม่เท่ เป็นสิ่งที่รุนแรงเกินไปในยุคนี้ เพราะคนเราสามารถขยันก็ได้ ขี้เกียจ ก็ได้ และเราไม่ควรตัดสิน (Judge) ใครจากช่วงเวลาพักผ่อนของเขา ตราบใดที่ยังคง รับผิดชอบชีวิตตัวเอง ได้อย่างครบถ้วน

สรุป คนขี้เกียจคือคนไม่เท่จริงไหม?
ความหมายของ “คนขี้เกียจคือคนไม่เท่” จึงขึ้นอยู่กับบริบทและจังหวะชีวิตของเรา หากความ ขี้เกียจ ทำให้คุณหยุดนิ่งและไม่สามารถรับผิดชอบชีวิตตัวเองได้ มันก็อาจทำให้คุณดูไม่น่าชื่นชมในสายตาคนอื่น แต่หากความ ขี้เกียจ คือการพักผ่อนเพื่อชาร์จแบตเตอรี่ในวันที่คุณ หมดไฟ Burnout เพื่อให้กลับมาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ นั่นไม่ใช่ความไม่เท่ แต่คือ ความรับผิดชอบต่อสุขภาพจิต ที่สำคัญยิ่งกว่า
ดังนั้น คำถามไม่ได้อยู่ที่ว่าคุณขี้เกียจหรือไม่ แต่อยู่ที่ว่า คุณใช้ความขี้เกียจนั้นอย่างมีสติและมีวินัยหรือไม่? และนั่นคือคำจำกัดความของ “ความเท่” ที่แท้จริงในยุคนี้
แล้วคุณล่ะ? คุณมีความคิดเห็นอย่างไรต่อประโยค “คนขี้เกียจคือคนไม่เท่”? ลองมาแบ่งปันมุมมองของคุณได้ในช่องแสดงความคิดเห็นนะครับ แต่ตอนนี้อยากนอนมาก ไปล่ะ บาย