เงินบริจาค ที่ได้จากการให้โดยเสน่หา เรียกคืนได้หรือไม่?
ประเด็นทางสังคมเกี่ยวกับการระดมทุนสาธารณะได้จุดประกายคำถามสำคัญในหมู่ผู้มีจิตศรัทธา เมื่อมีกรณีที่ผู้บริจาคจำนวนหนึ่งเริ่มเรียกร้องเงินคืนจากมูลนิธิต่าง ๆ เนื่องจากมองว่าได้รับข้อมูลการสื่อสารที่ไม่ครบถ้วนหรือไม่ตรงตามข้อเท็จจริง คำถามสำคัญคือ เงินบริจาค ที่มอบให้ไปแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นการให้แก่ เงินบริจาค นิติบุคคล อย่างมูลนิธิ สามารถเรียกกลับคืนมาได้จริงหรือไม่? สถานการณ์ดังกล่าวไม่ได้มีเพียงมิติทางจริยธรรมเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวพันโดยตรงกับหลักกฎหมายว่าด้วย “การให้” ที่ผู้บริจาคทุกคนควรรู้และทำความเข้าใจเพื่อรักษาสิทธิของตนเอง
หลักการทางกฎหมายเบื้องต้น การให้โดยเสน่หา
ตามหลักการของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ป.พ.พ.) เงินบริจาค จัดเป็น “นิติกรรมการให้โดยเสน่หา” ซึ่งหมายถึงการที่บุคคลหนึ่งโอนทรัพย์สินของตนให้อีกบุคคลหนึ่งโดยเสน่หาหรือความสมัครใจโดยไม่ได้รับสิ่งตอบแทนใด ๆ และการให้นั้นได้สำเร็จบริบูรณ์เมื่อมีการส่งมอบทรัพย์สินแล้ว (มาตรา 523)
โดยหลักกฎหมาย เมื่อมีการบริจาคสำเร็จแล้ว ผู้ให้ย่อมไม่มีสิทธิที่จะเพิกถอนหรือเรียกร้องทรัพย์สินหรือเงินบริจาคนั้นคืน เนื่องจากถือเป็นเจตนาบริสุทธิ์ในการสละกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินของตนตั้งแต่ต้น รศ. ดร. อัจฉรา ชลายนนาวิน คณบดีคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้เน้นย้ำว่า หลักการนี้ถือเป็นพื้นฐานของการบริจาคให้กับบุคคลหรือองค์กรใด ๆ ที่เป็นการให้โดยเสน่หา
หลักการนี้มีความเข้มงวดเป็นพิเศษเมื่อผู้รับบริจาคเป็นเงินบริจาค นิติบุคคล อย่างมูลนิธิหรือสมาคม ซึ่งโดยธรรมชาติแล้วองค์กรเหล่านี้ตั้งขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์สาธารณะ การให้เงินแก่องค์กรเหล่านี้จึงถูกตีความว่าเป็นการให้ที่มุ่งประโยชน์แก่สาธารณะโดยรวม ทำให้การเรียกคืนยิ่งทำได้ยาก เว้นแต่จะเข้าข้อยกเว้นที่กฎหมายกำหนดไว้โดยชัดแจ้ง

3 เหตุผลที่กฎหมายเปิดช่องให้เรียกคืนได้
แม้หลักทั่วไปจะยืนยันว่าบริจาคแล้วเรียกคืนไม่ได้ แต่กฎหมายก็ได้วางกลไกเพื่อคุ้มครองผู้บริจาคจากความไม่สุจริตของผู้รับบริจาค ดังนี้
เหตุผลที่ 1: การใช้เงินผิดวัตถุประสงค์ที่ตกลงกัน
นี่คือเหตุผลที่ถูกยกมาใช้มากที่สุดในกรณีพิพาทสาธารณะ ถ้าปรากฏว่ามูลนิธิหรือองค์กรนำเงินบริจาคไปใช้ไม่ตรงตามวัตถุประสงค์ ที่ได้มีการสื่อสารหรือตกลงไว้กับผู้บริจาค ไม่ว่าจะระบุไว้ในเอกสารทางการ หรือการสื่อสารผ่านพื้นที่โซเชียลมีเดียก็ตาม ผู้บริจาคสามารถรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อยื่นฟ้องร้องต่อศาลได้ทันที เพื่อขอให้ศาลสั่งเพิกถอนการให้และเรียกเงินคืนกลับมาในส่วนที่ใช้ผิดวัตถุประสงค์ การกระทำเช่นนี้เป็นการรักษาความสุจริตของเจตนาผู้ให้และคุ้มครองประโยชน์สาธารณะ
เหตุผลที่ 2: ความสำคัญผิดในคุณสมบัติของบุคคล
ประเด็นนี้มีความสำคัญมากในยุคที่มีการโฆษณาผ่านสื่อออนไลน์ ตามหลัก ป.พ.พ. มาตรา 157 นิติกรรมการให้จะตกเป็น โมฆียะ หากการให้เกิดขึ้นจาก “ความสำคัญผิดในสาระสำคัญ” หากผู้บริจาคเข้าใจโดยสำคัญผิดว่าบุคคลที่มีชื่อเสียงเป็นผู้บริหาร ผู้มีอำนาจ หรือผู้ควบคุมดูแลเงินบริจาค ของมูลนิธิ ทั้งที่ข้อเท็จจริงไม่เป็นเช่นนั้น ความยินยอมของผู้บริจาคย่อมไม่บริสุทธิ์
เมื่อมีการบอกล้างนิติกรรมการบริจาคที่ตกเป็นโมฆียะโดยชอบด้วยกฎหมาย สัญญานั้นย่อมเสื่อมผลย้อนหลังไปถึงขณะทำ และมูลนิธิต้องคืนเงินที่ได้รับไปในฐานะ “ลาภมิควรได้” (มาตรา 406) ซึ่งตามหลักกฎหมาย มูลนิธิไม่อาจปฏิเสธความรับผิดได้โดยอ้างว่านำเงินไปใช้เพื่อสาธารณประโยชน์แล้ว หากพิสูจน์ได้ว่ามูลนิธิรับทรัพย์สินไปโดยทุจริตหรือรู้ถึงเหตุต้องคืน ก็ต้องรับผิดคืนเงินบริจาคเต็มจำนวน แม้ทรัพย์สินนั้นจะถูกใช้ไปหมดสิ้นแล้วก็ตาม
เหตุผลที่ 3: ผู้รับบริจาคกระทำความประพฤติเนรคุณ
ตาม ป.พ.พ. มาตรา 531 หากผู้รับบริจาค (เช่น ผู้บริหารของมูลนิธิ) กระทำความผิดอาญาอย่างร้ายแรงต่อผู้บริจาคหรือครอบครัว หรือมีการหมิ่นประมาทอย่างร้ายแรงจนทำให้เกิดความเสียหาย ถือเป็นการกระทำ “เนรคุณ” ซึ่งผู้บริจาคสามารถเพิกถอนการให้และเรียกร้องเงินคืนได้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม การนำเหตุผลนี้มาใช้กับ เงินบริจาค นิติบุคคล อาจทำได้ยากในทางปฏิบัติมากกว่าสองกรณีแรก
แล้วทำอย่างไรเมื่อพบปัญหา
ความโปร่งใสถือเป็นเกราะป้องกันที่ดีที่สุดสำหรับผู้บริจาค เงินบริจาค ควรได้รับการบริหารจัดการอย่างชัดเจน เพื่อไม่ให้ประชาชนเกิดความสงสัย
1 ตรวจสอบสถานะก่อนโอน
ก่อนตัดสินใจบริจาค ประชาชนควรตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้นของมูลนิธิหรือสมาคมที่เปิดรับ เงินบริจาค
- การจดทะเบียน: ตรวจสอบว่ามูลนิธินั้น ๆ มีการจดทะเบียนอย่างถูกต้องอยู่ในฐานข้อมูลของกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย หรือไม่ หากไม่ปรากฏชื่อ อาจเข้าข่ายการไม่จดทะเบียนหรือแอบอ้าง
- ระบบ e-Donation: หากมูลนิธิมีฐานข้อมูลอยู่ในระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ (e-Donation) ของกรมสรรพากร ย่อมสะท้อนถึงระบบการทำบัญชีที่โปร่งใสและเป็นประโยชน์ต่อผู้บริจาคในการลดหย่อนภาษี
- วัตถุประสงค์: อย่าเพิ่งเชื่อถือตัวบุคคลหรือคำโฆษณาเพียงอย่างเดียว แต่ต้องตรวจสอบวัตถุประสงค์และกิจกรรมของมูลนิธิให้มั่นใจก่อนโอนเงินเสมอ
2 การรักษาสิทธิและดำเนินการทางกฎหมาย
เมื่อผู้บริจาคมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าถูกหลอกลวง หรือได้รับข้อมูลที่ไม่ถูกต้องจากมูลนิธิ ควรดำเนินการดังนี้โดยเร่งด่วน:
- รวบรวมพยานหลักฐาน: เก็บสลิปการโอนเงิน ข้อความเชิญชวนบริจาค โพสต์โฆษณา หรือคลิปวิดีโอที่ใช้ประกอบการระดมทุนทั้งหมด เพื่อแสดงให้เห็นถึงพฤติการณ์การหลอกลวงหรือการปกปิดข้อเท็จจริง
- บอกล้างนิติกรรม: ทำหนังสือบอกล้างนิติกรรมการบริจาคไปยังมูลนิธิอย่างเป็นทางการ และบอกกล่าวทวงถามขอคืนเงินตามหลักลาภมิควรได้
- แจ้งความดำเนินคดี: หากมูลนิธิปฏิเสธการคืนเงินโดยปราศจากเหตุผลทางกฎหมาย ผู้บริจาคสามารถแจ้งความร้องทุกข์เพื่อดำเนินคดีอาญาในข้อหา ฉ้อโกงประชาชน (มาตรา 343) หากปรากฏพฤติการณ์ว่ามีการโฆษณาหรือเผยแพร่ข้อความอันเป็นเท็จเพื่อให้ประชาชนหลงเชื่อ
- ร้องเรียนหน่วยงานกำกับดูแล: ร้องเรียนต่อกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย เพื่อให้ตรวจสอบการกระทำและความโปร่งใสในการบริหารจัดการของมูลนิธิ

สรุป
เงินบริจาคคือนิติกรรมการให้ที่เกิดจากศรัทธาและความสมัครใจของผู้ให้ อย่างไรก็ตาม กฎหมายได้วางหลักการคุ้มครองประชาชนอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในกรณีที่องค์กรการกุศลแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบผ่านการนำเสนอข้อมูลอันเป็นเท็จหรือการใช้เงินผิดวัตถุประสงค์ การอ้าง “การทำบุญเพื่อประโยชน์ส่วนรวม” ไม่อาจใช้เป็นข้ออ้างเพื่อหลีกเลี่ยงความรับผิดทางกฎหมายได้ หากมีพฤติการณ์ที่เข้าลักษณะหลอกลวงหรือฉ้อฉล ความโปร่งใสในการบริหาร เงินบริจาค นิติบุคคล จึงไม่ใช่เพียงทางเลือก แต่เป็น หน้าที่ทางกฎหมาย เพื่อรักษาความศรัทธาต่อระบบการกุศลของประเทศ

